fbpx

อยากให้ค่าคลิก Google ถูกสุดๆ ฟังทางนี้!

อยากให้ค่าคลิก Google ถูกสุดๆ ฟังทางนี้!

แชร์บทความน่าสนใจได้ที่นี่

ก่อนที่เราจะพูดเรื่องวิธีทำให้ค่าคลิกถูกนั้น ผมอยากจะให้เราพิจารณา 2 ประเด็นต่อไปนี้กันก่อน

  1. นิยามของคำว่าค่าคลิก Google Adwords ถูก มีหลากหลายคำนิยาม
  2. ปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อค่าคลิกโฆษณา Google

นิยามคำว่าถูกในที่นี้ อาจจะมีหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น

  • บางคนบอกว่า ค่าคลิก 50 บาท ถูกแล้ว
  • บางคนบอกว่า ค่าคลิก 50 บาท จ่ายเข้าไปได้ยังไง 20 บาท ถึงเรียกถูก
  • บางคนบอกว่า ค่าคลิก 20 บาท จ่ายเข้าได้ยังไง ต้อง 1 บาทสิ่ ถึงจะถูก
  • บางคนบอกว่า 1 บาท ก็ยังเยอะไป ต้องกดให้เหลือ 70 สตางค์ต่อคลิกถึงจะถูก

จะเห็นว่า แต่ละคนกำหนดราคาค่าคลิกที่ตัวเองรับได้ในใจไม่เท่ากัน ซึ่งอันนี้แล้วแต่ประสบการณ์ ความรู้ และการวางแผนของแต่ละคนด้วยครับ

 

แต่สำหรับบทความนี้ ผมจะนิยามคำว่าค่าคลิกถูก คือ

“ค่าคลิกที่ถูกที่สุด สำหรับ Keyword นั้น ตราบเท่าที่เราจะทำได้ ณ ขณะนั้น และ ณ อันดับโฆษณานั้น”

 

พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเราต้องการอยู่อันดับ 3 ตอนนี้ นี่คือราคาค่าคลิกที่ถูกที่สุด ที่เราสามารถทำได้แล้ว ไม่มีทางที่จะทำได้ถูกกว่านี้ได้ด้วยตนเองแล้ว ยกเว้นปัจจัยภายนอกอื่นๆจะเปลี่ยนไป เช่น อัตราการแข่งขันต่ำลง

 

อันนี้ก็เป็นที่มาของ ประเด็นที่ 2 ข้างต้น ก็คือ

 

ปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อค่าคลิกโฆษณาบน Google

จากการวิเคราะห์ของผมเองนั้น ปัจจัยดังกล่าวมี 2 ปัจจัยด้วยกัน

 

1. ปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายนอก ก็ยกตัวอย่างเช่น อัตราการแข่งขัน หรือปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของ Margin ต่อ Order

(คลิกเพื่ออ่านบทความ ทำไมค่าคลิก Google แพงจัง??)

 

2. ปัจจัยภายใน

ปัจจัยภายใน ที่ทำให้ค่าคลิก Google ถูกในทีนี้หมายถึง คุณภาพการทำโฆษณา ของเราเอง ซึ่งโดยปกติจะมีตัวชี้วัดที่ดูง่ายที่สุดนั่นก็คือ Quality Score หรือคะแนนคุณภาพโฆษณานั่นเอง

 

Quality Score ใน Google Adwords นั้น จะมีคะแนน 10/10

“ถ้าเรายิ่งทำคะแนนได้สูง เราก็จะยิ่งจ่ายค่าคลิกถูกลงนั่นเอง!!”

แล้วทำยังไง Quality Score จึงจะสูงล่ะ

 

Quality Score ประกอบด้วยปัจจัยอะไรบ้าง?

Quality Score ประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ​ 3 อย่างด้วยกัน

1. Expected CTR (Click Through Rate)

– ความหมายภาษาไทยของ CTR ก็คือ อัตราการคลิกผ่าน ยกตัวอย่างเช่น

– ถ้ามีคนเห็นโฆษณาแบบ A 100 ครั้ง และมีคนคลิก 5 ครั้ง อย่างนี้ CTR = 5%

– ถ้ามีคนเห็นโฆษณาแบบ B 100 ครั้ง และมีคนคลิก 15 ครั้ง อย่างนี้ CTR = 15%

 

ซึ่ง CTR จะเป็นตัวชี้วัดว่า โฆษณาแบบ A หรือแบบ B ที่มีคนสนใจคลิกมากกว่ากัน ซึ่งถ้าเราทำให้ CTR ยิ่งสูงได้ Google ก็จะยิ่งปลื้ม เพราะมองว่าคุณทำโฆษณาเก่ง ทำให้คนค้นหา Happy ค้นหาแล้วโฆษณาตรงใจ และ Google ก็ได้ค่าคลิกมากขึ้นด้วย ดังนั้น Google ก็จะตอบแทนคุณด้วยการให้ Quality Score คุณสูงขึ้น และตามมาด้วยค่าคลิกที่ถูกลงนั่นเอง!! make sense ใช่มั๊ยครับ??

 

ซึ่งวิธีจะทำให้ CTR สูงขึ้นนั้น หลักๆแล้วมี 2 วิธีด้วยกัน

 

1. เลือก Keyword ที่มีความเฉพาะเจาะจง หรือไม่กว้างจนเกินไป จะทำให้ CTR สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ เช่น คำว่า คอนโด กับคำว่า คอนโด ติดรถไฟฟ้า คำหลังย่อมจะมี CTR สูงกว่า เพราะคนค้นหารู้ตัวว่ากำลังค้นหาอะไรกันแน่

 

2. เขียนข้อความโฆษณา ให้น่าสนใจ และตรงสิ่งที่คนกำลังค้นหา เช่น ถ้าคนกำลังค้นหาคำว่า คอนโด กรุงเทพ ก็อย่าได้เอาโฆษณา คอนโด ภูเก็ต ขึ้นมาแสดงผลเด็ดขาด!

หรือเขียนโปรโมชั่น หรือข้อความให้น่าดึงดูดก็ช่วยให้ CTR ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

 

2. Relevancy

คือความสัมพันธ์กันของโฆษณา

หัวใจของ Search Engine นั้น มีเพียงข้อเดียวก็คือ

“Search อะไร แล้วต้องเจอสิ่งที่ต้องการ และมีคุณภาพ”

 

ดังนั้น Google จะให้ credit กับคนที่ทำโฆษณาได้ตรงสิ่งที่ลูกค้าต้องการ หลักการนี้ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ผมมักจะเจอผู้ลงโฆษณาหลายคนมองข้าม ยกตัวอย่างเช่น

 

– search keyword ทัวร์เกาหลี 5 วัน >> เจอโฆษณาทัวร์เกาหลี (กี่วันไม่ระบุ) >> แต่พอคลิกไปดันไปหน้าเว็บที่เป็นทัวร์พม่า หรือหลายโฆษณาก็ไม่ได้นำทัวร์เกาหลีขึ้นมาไว้ด้านบนของหน้า landing page ที่โฆษณาไปหาหน้าแรก จึงทำให้ลูกค้าหาสิ่งที่ต้องการยาก ดังนั้น โฆษณาแบบนี้จะได้ Quality Score ต่ำ และโดน Google ทำโทษด้วยการให้จ่ายค่าคลิกแพงๆ เพราะถือว่าทำให้คนค้นหาของ Google ปวดหัว เสียชื่อ Google หมด!!

ดังนั้นเราควรจะทำให้ keyword, ข้อความโฆษณา และ landing page สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน

 

3. Landing page experience

ตรงนี้พูดง่ายๆก็คือ คุณภาพของตัวหน้าเว็บไซต์ และความน่าเชื่อถือนั่นเอง

คุณภาพในทีนี้ก็หมายถึง เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว ไม่มีไวรัส มัลแวร์ และต้อง support มือถือเป็นต้น

 

สำหรับในประเทศไทย จะมีเว็บสำเร็จรูปชื่อดังหลายๆยี่ห้อ ที่ทำตรงส่วนนี้ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งถ้าเราเห็นว่าคะแนนในส่วน Landing page experience ต่ำ แล้วเราใช้เว็บสำเร็จรูปอยู่ละก็ ลองพิจารณาเปลี่ยนเว็บไซต์”อย่างรอบคอบ”ดูนะครับ โดยดูว่าระยะยาว ถ้าคลิกเราถูกขึ้นอีก ประมาณ 2-5 เท่า เมื่อเทียบกับปัจจุบัน มันคุ้มที่จะเปลี่ยนหรือเปล่า ซึ่งบางคนอาจจะตอบว่าคุ้ม บางคนอาจจะตอบว่าไม่คุ้ม

 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนเว็บ ย้ายเว็บ มักจะมีผลข้างเคียงที่เราอาจนึกไม่ถึงเกิดขึ้น เช่น อันดับ SEO ร่วง หรืออะไรพวกนี้ ต้องระวังให้มากๆนะครับ (ด้วยความปราถนาดี ^^)

ถ้าเราทำ 3 ข้อนี้ได้สมบูรณ์ ได้ Quality Score 10/10 เพียงเท่านี้ ค่าคลิกของเราก็จะมีราคาถูกมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้วครับ

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณทำทุกอย่างแล้ว Quality Score ไม่ได้เต็ม 10 ก็อย่าได้ซีเรียสมากเกินไป เพราะบางครั้งก็มีปัจจัยที่เราไม่ทราบว่าจะควบคุม Google ได้อย่างไรอยู่บ้าง  (เพราะ Google มีทีมวิศวกรคอยอัพเดตทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา) แต่อย่างน้อยๆถ้าเราทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว คะแนน Quality Scoreไม่ควรจะต่ำกว่า 7/10 ครับ ^^

 

ฝากทิ้งท้ายด้วยวิธีการ Check Quality Score ใน account ทำได้ในภาพครับ

QualityScores3.png

 

 

เรียนสร้างโฆษณากับอาจารย์หลิง

กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ (online Marketing)

การตลาดโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing)

การตลาดเชิงเนื้อหา (Content Marketing)

โปรโมทธุรกิจในแบบฉบับคุ้มค่า ต้นทุนต่ำ

สอนการตลาดออนไลน์ Digital Marketing ขยายธุรกิจ สร้างการรับรู้ให้แก่ลูกค้า

เพิ่มเพื่อน

ติดต่อ Line ID : @ajlink
คลิกเพื่อ  ADD Line : https://line.me/R/ti/p/%40ajlink
Fanpage : Aj Link
คลิก https://www.facebook.com/krulink/

ติดตามข่าวสารไอที
www.ajlink.net

ที่มา : th.advertisercommunity

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *